Cryptocurrency

Cryptocurrency

Cryptocurrency ช่วงนี้เรามักจะได้ยินคำว่าเงินคริปโต หรือเงินดิจิตอลกันบ่อยขึ้น และเริ่มรู้สึกว่ามันจะเริ่มเข้าใกล้เราเข้ามาเรื่อยๆ เช่นมีข่าวว่า ธุรกิจซีพีมีโปรเจคจะสร้างสกุลเงินดิจิตอลชื่อVeloหรือFacebook กำลังร่วมกับ Partnerสร้างสกุลเงินดิจิตอลเป็นของตัวเองชื่อ Libra หรือแม้แต่ประเทศจีนก็ได้ผ่านกฎหมาย “The Cryptography law”ซึ่งเป็นกฎหมายควบคุมการใช้งาน Cryptography ในเชิงพาณิชย์ มีผลบังคับใช้ 1 มกราคม 2020 นี้ เป็นต้น

Cryptocurrency คือ อะไร

Cryptocurrency หรือสกุลเงินดิจิตอล บางคนเรียกว่าสกุลเงินคริปโต เป็นอีกนวัตกรรมการเงินสมัยใหม่ เป็นตัวเงินที่ไม่สามารถจับต้องได้ ไม่มีเหรียญ ไม่ธนบัตรที่จับต้องได้จริง แต่มีมูลค่าจริงบนโลกดิจิตอลเทียบเท่ากับธนบัตรในประเทศต่างๆ เงินดิจิตอลถูกควบคุมแบบกระจาย (Decetralized) โดยรันอยู่บนระบบบล็อกเชน จำนวนเหรียญมีอยู่อย่างจำกัด จึงทำให้มูลค่าเงินดิจิตอลนั้นเพิ่มค่าขึ้นเรื่อยๆ แตกต่างจากเงินที่เราถือกันในปัจจุบันในรูปเหรียญและธนบัตร ที่ถูกควบคุมโดยธนาคารกลาง(Centralized)ธนบัตรสามารถพิมพ์ออกมาใช้ได้อย่างไม่จำกัด ไม่มีความโปร่งใส ทำให้มูลค่าเงินลดลงเรื่อยๆ

การสร้างสกุลเงินดิจิตอลบนระบบบล๊อคเชนนั้นจึงช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับระบบการเงินในปัจจุบันได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความโปร่งใสในระบบการเงิน ความถูกต้องในการทำธุรกรรม ความปลอดภัยของระบบการเงิน รวมไปถึงเพิ่มความเร็วในการทำธุรกรรมทางการเงินข้ามพรมแดน และสามารถลดค่าธรรมเนียม หรือค่าบริการต่างๆ ลงไปได้ด้วย และด้วยเหตุผลดังกล่าวอาจกล่าวได้ว่า Cryptocurrency คืออนาคตของโลกการเงิน

ประเภทของเงินดิจิตอล

  1. บิทคอยน์ (BitCoin) เป็นเงินดิจิตอลสกุลเงินแรกและขณะนี้มีมูลค่าทางการตลาดสูงสุด
  2. อัลคอยน์ (AltCoin)หรือ (Alternative Coins)เป็นเหรียญทางเลือก มีวัตถุประสงค์ในการสร้างมาแตกต่างกันเช่น อีเธอเรียม(Ethereum) บิทคอยน์ แคช (Bitcoin Cash) ไลท์คอยน์ (Litecoin) และริปเปิ้ล (Ripple) เป็นต้น

สกุลเงินดิจิตอลยอดนิยม

เมื่อพูดถึงสกุลเงินดิจิตอลแล้วก็มักจะนึกถึงบิทคอยน์(Bitcoin) เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่จริงๆแล้วสกุลเงินดิจิตอลบนโลกนี้มีมากกว่า 1,300 สกุลเงิน และ7 สกุลเงินดิจิตอลที่ได้รับความนิยมได้แก่

Cryptocurrency คือ อะไร
  1. Ethereum (ETH)เป็นมากกว่าเงินดิจิตอล เพราะสามารถทำ Smart Contract และข้อตกลงทางการเงินได้ด้วย
  2. Ripple (XRP)ใช้สำหรับชำระเงิน โอนเงินระหว่างสถาบันการเงินและธนาคารทั่วโลก จำกัดให้ใช้เฉพาะธนาคารที่ลงทะเบียนกับ Ripple เท่านั้น
  3. Bitcoin Cash (BCH)แยกตัวมาจาก Bitcoin หรือเรียกว่าการทำ Hard Fork เพื่อแก้ไขปัญหาการทำธุรกรรมล่าช้าของ Bitcoin เดิม
  4. EOSมีคุณสมบัติคล้าย ETH แต่จะทำธุรกรรมได้เร็วกว่า และไม่มีค่าธรรมเนียมเหมือน ETH
  5. Stellar (XLM)ถูกพัฒนาต่อมาจาก XRP แต่ให้บริการแก่บุคคลทั่วไปสำหรับชำระและโอนเงินไปต่างประเทศ
  6. LTC(Litecoin)คล้าย Bitcoin แต่ใช้เวลาในการทำธุรกรรมสั้นกว่าและค่าธรรมเนียมในการโอนถูกกว่า
  7. Tether(USDT) เป็นสกุลเงินดิจิตอลแบบ Stable Coin หรือสกุลเงินที่มีค่าคงที่ เป็นสกุลเงินที่มีเงินดอลลาร์สหรัฐค้ำอยู่ในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 มีวัตถุประสงค์คือรักษามูลค่าเงินดิจิตอลให้มีอยู่ใน exchange สามารถแลกเปลี่ยนมาเป็นสกุลเงินธนบัตรของแต่ละประเทศได้(Fiat Currency)

การยอมรับการใช้งาน

ต่างประเทศได้แก่ ญี่ปุ่น แคนาดา สหรัฐอเมริกา และหลายทวีปในยุโรปยอมรับ Bitcoin อย่างถูกกฎหมายและมีหลายบริษัทที่เปิดให้ใช้ Bitcoin ชำระสินค้า เช่น Microsoft, Expedia, Shopify, CheapAir และ Overstock เป็นต้นส่วนในประเทศไทยนั้น ก.ล.ต. ได้อนุญาตให้ทำการซื้อขาย 7 สกุลเงินดิจิตอลได้ ได้แก่ Bitcoin, Ethereum, Ripple, Litecoin, Bitcoin Cash, Ethereum Classic และStellar

Cryptocurrency คือ อะไร

รูปแบบการลงทุนหรือการหาเหรียญดิจิตอล

1.การขุดเหรียญ หรือที่เรียกติดปากว่า การขุดบิทคอยน์ เมื่อพูดถึงการขุดบางคนอาจจะนึกไปถึงการนำจอบหรือเสียมไปขุดดินหาทองอะไรแนวนั้น แต่วิธีการขุดบิทคอยน์จริง ๆ แล้ว เป็นการรันซอฟต์แวร์บนระบบคอมพิวเตอร์ให้ถอดสมการคณิตศาสตร์ออกมา

เครื่องมือในการขุดจึงไม่ใช่จอบหรือเสียม แต่เป็นคอมพิวเตอร์และไฟฟ้าแทนการขุดต้องใช้เวลานาน ซึ่งบางครั้งผลตอบแทนก็ไม่คุ้มค่ากับการลงทุนเพราะบิทคอยน์ส่วนใหญ่ถูกขุดไปแล้ว สำหรับคนที่สนใจแต่ยังไม่มีเงินลงทุน ตอนนี้มีหลายสกุลเหรียญดิจิตอลที่เปิดให้ขุดฟรีๆได้ด้วยวิธีนี้แม้จะได้เหรียญน้อยหน่อย แต่ลงทุนน้อยมากๆ

2.การรับชำระสินค้าและบริการด้วยเหรียญ เป็นหาเหรียญโดยการขายบริการหรือสินค้าโดยยินยอมให้ชำระเงินเป็นสกุลเงินดิจิตอลได้ เช่น ขายเสื้อผ้าขายเครื่องสำอาง โดยรับชำระเป็นสกุลเงินดิจิตอล เมื่อตกลงซื้อสินค้ากันแล้ว

คนขายจะแจ้ง Address กระเป๋าให้กับคนซื้อสินค้า ผู้ซื้อจะต้องโอนเงินดิจิตอลตามจำนวนที่ตกลงกันมาให้ เมื่อคนขายได้รับเงินเรียบร้อยแล้ว จึงดำเนินการจัดส่งสินค้า ผู้ขายก็จะได้เงินในรูปแบบสกุลเงินดิจิตอลแทนสกุลเงินของประเทศต่าง ๆ

3. การเทรดเหรียญ การลงทุนด้วยการเทรดเหรียญนั้นทำได้ง่าย และลงทุนน้อยกว่า เริ่มต้นด้วยการสมัครบัญชีสมัครของเวบเทรด (Exchange) ก่อน เอกสารสำคัญที่ต้องใช้คือบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อใช้ยืนยันตัวตน KYCหลังจากนั้นทำการฝากเงินเข้าบัญชีของ Exchange และใช้เงินดังกล่าวเทรดซื้อขายเหรียญดิจิตอลได้เลย ทั้งนี้ มีรูปแบบการลงทุนดังนี้

การเทรดระยะสั้น โดยหลักการเทรดสกุลเงินดิจิตอลใช้หลักการเดียวกับการเทรดหุ้นคือ ซื้อราคาต่ำแล้วขายราคาสูง การเทรดระยะสั้นจะใช้เวลาในการทำกำไรน้อย แต่ต้องใช้เงินลงทุนสูง และเสี่ยงต่อการขาดทุนสูงเพราะราคาเหรียญดิจิตอลมีความผันผวนมาก

การเทรดระยะยาว เป็นวิธีการซื้อเหรียญดิจิตอลและถือไว้ในระยะยาว 1 ปีขึ้นไป วิธีการนี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาได้ ใช้เงินลงทุนน้อย ไม่ต้องเสียเวลามาเฝ้ากระดานและลดความกดดันจากความผันผวนของราคาระหว่างวันได้

การเทรด Future เป็นการทำสัญญาเล่นราคาเหรียญในอนาคต โดยการคาดการณ์ว่าต่อไปราคาเหรียญจะขึ้น (Long) หรือราคาลง (Short) นักลงทุนสามารถทำกำไรจากส่วนต่างราคาปัจจุบันและมูลค่าในอนาคตได้ หากการคาดการณ์นั้นถูกต้อง แต่จะขาดทุนหากคาดการณ์ผิดพลาด

ICO หรือ Initial Coin Offering เป็นการเสนอขายเหรียญดิจิตอลในราคาที่เปิดขายครั้งแรก คล้าย IPO ของหุ้น ICO จะเกิดขึ้นจากความต้องการระดมทุนของสตาร์ทอัพ อย่างไรก็ตามการซื้อเหรียญดิจิตอลด้วยราคา ICO จะมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง เพราะมีโครงการ ICO หลายๆโครงการที่ไม่ประสบความสำเร็จ

Cryptocurrency

ปัจจัยที่มีผลต่อการขึ้นลงของราคาเหรียญดิจิตอล

จริงๆแล้วปัจจัยที่ผลต่อราคาสกุลเงินดิจิตอลนั้นมาจากความต้องการซื้อและความต้องการขาย หรือกฎ Demand-Supply นั่นเอง หากมีคนต้องการซื้อเหรียญสกุลใดๆมากกว่าต้องการขายราคาก็จะขยับตัวขึ้น และในทางตรงกันข้ามหากมีความต้องการขายเยอะกว่าความต้องการซื้อราคาเหรียญก็จะตกลงมา

ปัจจัยที่อยู่เบื้องหลังความต้องการซื้อและความต้องการขาย(Demand-Supply) มีดังต่อไปนี้

1.ข่าว ข่าวที่ออกมาแล้วมีความสัมพันธ์กับสกุลเหรียญดิจิตอลนั้นๆจะมีผลต่อความต้องการซื้อหรือขายเหรียญ เป็นต้นว่า เป็นข่าวของเงินสกุลดิจิตอลโดยตรง ข่าวเกี่ยวพันกับบริษัทเจ้าของเหรียญ เช่น ผลประกอบการการดำเนินงาน หรือข่าวเกี่ยวกับกฎหมายของแต่ละประเทศ เป็นต้น ถ้าเป็นข่าวดีก็จะส่งผลให้มีความต้องการซื้อมากขึ้น และหากเป็นข่าวเสียๆหายๆก็ส่งผลให้นักลงทุนเทขายเหรียญออกไป

2. ราคาเหรียญทางเลือกจะสัมพันธ์กับราคาบิทคอยน์คือเมื่อเหรียญบิทคอยน์ (BTC) มีราคาสูงขึ้น เหรียญสกุลอื่นๆจะราคาจะดีดขึ้นตาม และเมื่อบิทคอยน์มีราคาต่ำลงจะส่งผลให้เหรียญสกุลอื่นราคาลดลงไปด้วยดังนั้น หากต้องการรู้เทรนด์ของราคาเหรียญดิจิตอล จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องหาอ่านข่าวจากแหล่งที่มีความน่าเชื่อถือสูง

การซื้อขายเหรียญดิจิตอลต้องอาศัยเวบเทรด (Exchange) เป็นตัวกลาง Exchange ในต่างประเทศ ได้แก่ Stellarport, P2Pb2b, 365.Stream, Binance, OKEX, BITFINEX,BitMEXเป็นต้น ส่วน Exchangeในประเทศไทยได้แก่ Bitkubและ Satang.Pro

หากเพื่อนๆต้องการหาความรู้ในเรื่องการลงทุนใน Cryptocurrency ควรหัดซื้อขายเหรียญดิจิตอลบนเว็บเทรดในประเทศไทยไปก่อน โดยเลือกสมัครเป็นสมาชิกของเวบBitkubหรือ Satang.Proเว็บใดเว็บหนึ่งหรือทั้งสองเว็บเลยก็ได้แนะนำให้สมัครสองเว็บไซต์เลย เพื่อที่จะได้ฝึกซ้อมการโอนเงินระหว่าง Exchange ได้ด้วย ขอแนะนำขั้นตอนการสมัครและใช้งาน Exchageคร่าวๆ ตามนี้

Cryptocurrency คือ อะไร
  1. ข้อมูลทั่วไป กรอกรายละเอียดข้อมูล ชื่อ ที่อยู่ และข้อมูลอื่นๆตามที่เวบเทรดต้องการ
  2. ยืนยันตัวตนขั้นตอนนี้ต้องเตรียมบัตรประจำตัวประชาชนให้พร้อม และถ่ายรูปตัวเองให้ตรงตามที่เวบเทรดต้องการ ขั้นตอนการยืนยันตัวตน KYC นี้จะใช้เวลานานสักหน่อยดังนั้นหากอยากให้ทำครั้งเดียวผ่าน แนะนำให้ถ่ายรูปให้ชัดๆ รับรองรอบเดียวก็ยืนยันตัวผ่านแล้ว
  3. ผูกบัญชีธนาคาร หลังจากยืนยันตัวผ่านแล้ว ให้เพิ่มบัญชีธนาคารที่ต้องการทำธุรกรรมกับเวบเทรดแต่ละเจ้า ขั้นตอนนี้ต้องใช้รูปถ่าย Book Bank ด้วย
  4. ฝากเงินเข้าExchangeเมื่อผูกบัญชีธนาคารแล้ว ก็สามารถเงินบาทจากธนาคารเข้าสู่บัญชีของเวบเทรด เพื่อทำการซื้อขายเหรียญได้เลย
  5. ซื้อขายเหรียญ เมื่อฝากเงินสำเร็จ สามารถทดลองซื้อขายเหรียญดิจิตอลได้ โดยทดลองซื้อจำนวนน้อยๆไปก่อน เพราะหากทำการซื้อขายพลาดได้ไม่เสียดายเงินมากนัก
  6. โอนเหรียญระหว่าง Exchangeเมื่อซื้อเหรียญได้แล้วให้ทดลองโอนจาก Exchange หนึ่งไปอีก Exchange หนึ่ง เช่นโอนจาก Bitkubไป Satang.Proโดยมีข้อพึงระวังคือต้องใส่ Address กระเป๋าให้ถูกต้องและอย่าลืมใส่ Memo ด้วย เพื่อให้เหรียญวิ่งเข้ากระเป๋าถูกต้อง ทั้งสองเวบเทรดของประเทศไทย จำเป็นต้องMemo ถ้าไม่ใส่ เหรียญจะวิ่งไปที่กระเป๋ากลางของแต่ละ Exchange
  7. ถอนเงินบาทจาก Exchangeทำได้โดยการเทรดเงินสกุลดิจิตอลให้เป็นเงินบาทก่อน และถอนเงินบาทเข้าบัญชีธนาคารที่ผูกไว้กับ Exchange

ทุกครั้งที่สมัครสมาชิกกับเว็บเทรด (Exchange) อยากให้เพื่อน ๆ ตระหนักเรื่องความปลอดภัยของกระเป๋าเงินของเราให้มากๆ เพราะเว็บเทรดแต่ละเว็บจะพ่วงกระเป๋าเงินอยู่ในนั้นด้วย หากเว็บเทรดโดนแฮกขึ้นมาเงินทั้งหมดก็จะหายไปด้วย แนะนำให้เพื่อนๆทุกคน เก็บ Username และ Password เป็นความลับ และเปิดใช้ 2FA เพื่อให้กระเป๋าเงินปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

ข้อดีของการใช้เว็บเทรด Bitkub

  1. เป็นเว็บเทรดที่มีคนใช้งานและปริมาณการเทรดเป็นอันดับที่ 1 ของประเทศไทย
  2. มี Support ให้บริการ 24 ชั่วโมง ติดตามแก้ไขปัญหาให้นักลงทุนรวดเร็ว อุ่นใจดีมาก
  3. ให้บริการเหรียญเยอะที่สุดในประเทศไทย
  4. เป็นเว็บเทรดที่มีระบบการรักษาความปลอดภัยสูง
  5. มีแอพพลิเคชั่นให้ใช้ผ่านมือถือทั้งระบบAndroid และiOS
  6. มีโปรโมชั่นดึงดูดนักลงทุนมากมาย เช่น Fee Credits และReferral Program

ข้อดีของการใช้เว็บเทรด Satang.Pro

  1. สมัครสมาชิกใช้งานรวดเร็ว ใช้เวลาในการยืนยันตัวตน KYCสั้นมาก
  2. เป็นเว็บเทรดที่มีใช้งานและมูลค่าการเทรดเป็นอันดับ 2
  3. มีระบบฝากถอนเงินแบบ Real-Time ผ่านระบบพร้อมเพย์
  4. เป็นเว็บเทรดที่ให้บริการพลเมืองอเมริกันได้
  5. เป็นเว็บเทรดที่จับคู่เทรดระหว่างเงินบาทไทยกับเหรียญดิจิตอลสกุล USDT

ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นสมาชิกของเว็บเทรดทั้งสองเว็บ บอกตรงๆว่าเลือกไม่ถูกว่าจะใช้เว็บเทรดไหนดี ขอใช้ทั้งสองเว็บแล้วกัน สำหรับเพื่อนๆที่ยังกล้าๆกลัวๆกับ Cryptocurrency แนะนำว่าให้ลองศึกษาดูก่อน และลองสมัครเวบเทรด Bitkub หรือ Satang.Pro แล้วไปลองไปฝึกเทรดฝึกใช้กันนะ เพราะคิดว่าอนาคตอันใกล้นี้คงหนี Cryptocurrency ไม่พ้นแน่ๆ